นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวง แถลงแผนป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 หลังยุบ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป และใช้กลไก พ.ร.บ.โรคติดต่อบริหารสถานการณ์
นายอนุทิน กล่าวว่า ภาพรวมมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมาก ประชาชนมากกว่าร้อยละ 92 มีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนถึง 143 ล้านโดส และบางส่วนมีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ แม้ปรับให้เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังแต่การเข้าถึงการรักษายังคงเป็นไปตามสิทธิ ผู้ป่วยอาการฉุกเฉินวิกฤตเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ ทั้งสถานพยาบาลรัฐหรือเอกชนตามสิทธิ UCEP Plus จนกว่าจะหายป่วย ยืนยันความพร้อมการสำรองยา วัคซีน และเตียงรองรับสถานการณ์
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค คาดการณ์ว่าปี 2566 อาจพบการระบาดในลักษณะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามฤดูกาลเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่ระยะเฝ้าระวัง แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ เฝ้าระวังผู้ป่วยในโรงพยาบาล การระวังแบบกลุ่มก้อน เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงนอกสถานพยาบาล และเฝ้าระวังเชื้อกลายพันธุ์ ขณะเดียวกันแนะนำให้ตรวจ ATK เมื่อมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ส่วนคนไม่มีอาการป่วยไม่ต้องตรวจ และแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท สำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หากเข็มสุดท้ายเกิน 4 เดือน ควรมารับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ขณะนี้มีวัคซีนสำรอง 42 ล้านโดส ใช้ได้อย่างน้อย 6 เดือน
ส่วนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในปีหน้าจะเป็นอย่างไร จะพิจารณาจากปัจจัยว่ามีเชื้อกลายพันธุ์หรือไม่ รวมทั้งการผลิตวัคซีนรุ่นใหม่ ส่วนยารักษา ขณะนี้มีฟาวิพิราเวียร์คงเหลือ 5.6 ล้านเม็ด เพียงพอใช้ 3 เดือน โมลนูพิราเวียร์ คงเหลือ 20.3 ล้านเม็ด เพียงพอใช้ 4 เดือนครึ่ง เรมเดซิเวียร์ คงเหลือ 2.3 หมื่นขวด เพียงพอใช้ครึ่งเดือน และมีแผนจะจัดซื้อฟาวิพิราเวียร์เพิ่ม 10 ล้านเม็ด โมลนูพิราเวียร์ 35 ล้านเม็ด และเรมเดซิเวียร์ 3 แสนขวด
แผนดูแล "โควิด" หลังเป็นโรคเฝ้าระวัง
ผลจากการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลให้บทบาทหน้าที่ในการจัดการโควิด-19 กลับมาสู่หน่วยงานรับผิดชอบเดิมอย่างกระทรวงสาธารณสุข ที่มีการวางแผนร่วมกันในการเปลี่ยนผ่าน ทั้งการเฝ้าระวัง แนวทางการรักษา และการจัดการวัคซีน ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 โดยใช้กลไก คณะกรรมการโรคติดต่อทั้งในระดับชาติ และระดับพื้นที่
การปรับเปลี่ยนการรักษากรณีติดเชื้อ
กรณีติดเชื้อแล้วไม่มีอาการ-อาการน้อย ไม่ต้องกักตัว แต่ให้เน้นมาตรการ DMHT อย่างเคร่งครัด 5 วันโดยเฉพาะการใส่หน้ากากอนามัย-ล้างมือ
สำหรับการรักษา ยังคงรักษาฟรีตามสิทธิ สำหรับผู้ป่วยสีเขียว (ไม่มีอาการ และมีอาการน้อยแต่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง) เน้นการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (เจอ แจก จบ) โดยผู้ติดเชื้อสามารถรับบริการทางการแพทย์ ในการรักษาโรคโควิด-19 ทางระบบออนไลน์ หรือ Telemedicine ผ่าน 4 แอปพลิเคชั่น ได้แก่ Clicknic Totale Telemed MorDee และ Good Doctor ซึ่งจะมีบริการส่งยาฟรีถึงบ้าน
สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง มีอาการรุนแรง หรือปอดบวมต้องรับออกซิเจน จะเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน
ในกรณีที่ผู้ติดเชื้ออาการทรุดอย่างรวดเร็ว (อาการฉุกเฉินวิกฤตสีแดง) สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ทั้งสถานพยาบาลภาครัฐหรือเอกชนตามสิทธิ UCEP Plus จนกว่าจะหายป่วย (ซึ่งแตกต่างจาก UCEP ทั่วไปที่รักษาได้ 72 ชั่วโมงจากนั้นต้องส่งไปรักษาตามสิทธิ) ส่วนแรงงานต่างด้าวหากมีประกันสุขภาพก็สามารถใช้ประกันในการรักษาได้ฟรี
การฉีดวัคซีน
ประชาชนยังสามารถรับบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตามสถานพยาบาลที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม.กำหนด โดยกลุ่มเฉพาะกลุ่ม 608 “ควร” ฉีดเข็มกระตุ้นทุก 4 เดือน ส่วนบุคคลทั่วไปสามารถฉีดเข็มกระตุ้นได้ทุก 4-6 เดือน ได้ตามความสมัครใจ
แผนการดำเนินการในระยะ 1 ปี
กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ว่าจะคงสถานะเฝ้าระวังไปอีก 1 ปี (ต.ค.65- ก.ย.66) โดยคาดว่าปี 2566 อาจมีการระบาดเกิดขึ้นตามฤดูกาลคล้ายไข้หวัดใหญ่ อาจพบการติดเชื้อเป็นระยะในบางพื้นที่ 1-3 ครั้งต่อปี ส่วนระบบเฝ้าระวังต่อจากนี้ใช้ 4 ระบบในการติดตามข้อมูลการระบาด ดังนี้ ยังมีการติดตามอข้อมูลอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 4 ระบบ คือ
1. การเฝ้าระวังผู้ป่วยใน รพ. Hospital Base ซึ่งมีการดำเนินการแล้ว
2. การเฝ้าระวังเป็นกลุ่มก้อน เช่น โรงเรียน ตลาด ชุมชน ศูนย์พักพิง มีทีมไปสอบสวนโรค และประกาศพิจารณาโรคระบาดเฉพาะพื้นที่
3. การเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงเฉพาะนอก รพ. เช่น โรงเรียน สถานศึกษา บ้านพักคนชรา ผับบาร์ แรงงานต่างด้าว
4. การเฝ้าระวังสายพันธุ์กลายพันธุ์
ขอให้มั่นใจว่าระบบรัดกุมได้มาตรฐานสากล สามารถตรวจจับการระบาดควบคุมโรคได้ทันท่วงที